วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บทที่ 2

E-BUSINESS INFRASTRUCTURE

ผลลัพธ์การเรียนรู้



ร่างฮาร์ดแวร์และเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอีธุรกิจภายในองค์กรและคู่ค้าฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นเพื่อให้สามารถเข้าถึงการทำงานของพนักงานกับอินเทอร์เน็ตและโฮสติ้งของบริการ E-commerce

TYPICAL PROBLEMS


-การสื่อสารที่เว็บไซต์ช้าเกินไป

-เว็บไซต์ที่ไม่สามารถใช้ได้
-ข้อบกพร่องในเว็บไซต์ผ่านหน้าเป็นไม่พร้อมใช้งานหรือข้อมูลที่พิมพ์ในรูปแบบที่ไม่ได้รับการดำเนินการ
-ผลิตภัณฑ์ที่สั่งซื้อไม่ได้ส่งในเวลา
-E-mail ไม่ได้ตอบ
-ความเป็นส่วนตัวของลูกค้าหรือความไว้วางใจเสียผ่านปัญหาการรักษาความปลอดภัยเช่นบัตรเครดิตถูกขโมยหรือที่อยู่ขายให้กับ บริษัท อื่น ๆ


E-business infrastructure

E-business infrastructure   หมายถึงการรวมกันของฮาร์ดแวร์เช่น Server, Client ในองค์กรรวมถึงการใช้เครือข่ายในการเชื่อมโยงฮาร์ดแวร์เหล่านี้และการใช้งานซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการส่งมอบบริการให้กับผู้ใช้งานที่อยู่ในบริษัทและยังรวมถึงคู่ค้าและลูกค้าของตน ซึ่งคำว่า Infrastructure ยังรวมไปถึงสถาปัตยกรรมทางด้าน Hardware , Software และ เครือข่าย ที่มีอยู่ในบริษัทด้วย

ส่วนประกอบของโครงสร้างพื้นฐาน E-business infrastructure components


Key management issues of e-business infrastructure

1. ประเภทของ E-business ที่เกี่ยวข้องกับแอปฟลิเคชั่่น เช่นก่ารจัดซื้อจัดจ้าง การรักษาความ
ปลอดภัยของการจัดซื้อ การบริหารจัดการลูกค้าสัมพันธ์ เป็นต้น
2. ใช้เทคโนโลยีอะไรเพื่อให้ถึงเป้าหมาย เช่น e-mail เป็นต้น
3. ทำอย่างไรเพื่อจะให้บริการต่างๆ มีประสิทธิภาพ
4. จะนำบริการนี้ไปติดตั้งไว้ที่ไหนอย่างไร เช่นเอาไปติดตั้งที่เครื่อง server เอง หรือ ใช้บริการบริษัทภายนอกองค์กร

Internet technology
Internet ช่วยให้การสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่องที่เชื่อมต่อทั่วโลก ดังนั้นอินเทอร์เน็ตจึงเป็นระบบเขนาดใหญ่ในรูปแบบ Client / Server




Intranet applications

อินทราเน็ตถูกใช้อย่างกว้างขวางเพื่อรองรับการขายในด้านธุรกิจ e - commerce โดยเน้นทำงานจากฝ่ายการตลาดเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนกิจกรรมหลักของ supply-chain management 



Extranet applications

เอ็กซ์ทราเน็ตเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลโดยควบคุมจากภายนอกองค์กร สำหรับธุรกิจที่เฉพาะเจาะจง


Firewalls
ถ้าแปลเป็นภาษาไทย จะหมายถึง กำแพงไฟ ซึ่งน่าจะหมายถึงการป้องกันการบุกรุก โดยการสร้างกำแพง อย่างไรก็ตาม ความหมายของ Firewall สามารถอธิบายได้ดังนี้ คือ Firewall เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับป้องกันระบบ Network (เครือข่าย) จากการสื่อสารทั่วไปที่ถูกบุกรุก จากผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต เป็นเรื่องเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยในระบบ Network หรือระบบเครือข่าย การป้องกันโดยใช้ระบบ Firewall นี้จะเป็นการกำหนดกฏเกณฑ์ในการควบคุมการเข้า-ออก หรือการควบคุมการรับ-ส่งข้อมูล ในระบบเครือข่าย นั่นเอง


Web technology

World Wide Web,  หรือเรียกสั้นๆว่า ‘web’ คือขั้นตอนมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูล  ข้อมูลสาธารณะบนโลกอินเทอร์เน็ต โดยรูปแบบเอกสารพื้นฐานคือ HTML (Hypertext Markup Language) และเป็นการบริการหนึ่งในรูปแบบต่างๆของการให้บริการของอินเตอร์เน็ต สำหรับผู้พัฒนาเว็บ

WEB EVOLUTION

Web 1.0 
ถ้าถามว่า เว็บ 1.0 คือ ? หลายๆคนอาจจะเคยได้ยินคนนั้นคนนี้พูดกันถึงเรื่องเทคโนโลยีและวิวัฒนาการของเว็บไซต์กันมาบ้างแล้วอาจจะได้ยินคำเหล่านี้ Web 1.0, web 2.0, web 3.0, web 4.0... และอาจจะยัง ไม่เข้าใจว่า คำเหล่านี้ คือ ? ใช่ไหมครับ งั้นผมจะมาอธิบายให้ได้รู้กันนะครับ ว่ามันคือ ? ลองนั่งนึกย้อนไปในยุดแรกๆ ตอนที่ Internet เพิ่งมีการเริ่มพัฒนาอย่างจริงๆจังๆ เราอาจจะเคยเห็นมีเว็บไซต์หลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเจ้าของเว็บไซต์นั้นๆ ก็จะเป็นการนำเอาข้อมูลที่ตัวเอง ต้องการนำไปเสนอไปทำในรูปแบบของ html หรือข้อมูลต่างๆ ที่เราเห็นอยู่นั้นไปใส่ไว้ในเว็บไซต์ หรืออินเตอร์เน็ต ส่วนพวกเราที่เป็นผู้ใช้งานก็จะมีหน้าที่ คือ กดเข้าไปอ่าน Update ข้อมูลใหม่ๆ ที่เจ้าของเว็บไซต์นั้นๆ เป็นผู้ดูแลค่อยค่อยนำข้อมูลใหม่ๆ ไปนำเสนอนั้นเอง หรือกฌคือ การสือสารแบบทางเดียว ที่เราเรียกกันว่า One Way Communication ก็ได้

Web 2.0 
จาก Web 1.0 ต่ามาก็เริ่มมีการพัฒนา พวก Web Board, Blog, Wikipedia เป็นต้นซึ่งจะใช้ฐานจ้อมูลมาเกี่ยวข้อกับเทคโนโลยีนี้ด้วย บุคคลทั่วไปคือผู้สร้างเนื้อหา มีการนำภาพมาแชร์ นำวีดีโอ มา Post มีการแชร์ แบ่งบันแลกเปลี่ยน พูดคุย และนำเสนอข้อมูลต่างๆ เองได้ ทำให้เราเข้าใจว่าในยุคที่ 2 นั้นเป็นเรื่องของการแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง โดยการเสริมสร้างข้อมูลสารสนเทศ  ให้มีคุณค่าและมีข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด ผู้ใช้กลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ ข้อมูล ในเว็บไซต์นั้นมีการอัตเดท และพัฒนา ปรับปรุง อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เว็บไซต์มีรูปแบบการสือสารเป็นแบบสองทาง หรือ Two Way Communication พอมาถึงจุดนี้ ทำให้อินเตอร์เน็ตในยุค 2 มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาก


Web 3.0 
จาก Web 2.0 ก็เริ่มที่จะขยับก้าวเข้ามาสู้ช่วงของ Web 3.0 เป็นแนวคิดที่ได้มาจาก Web 2.0 ที่เกิดขึ้นมากมาย ให้เว็บไซต์นั้นสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมากได้โดยการเอาข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่มาจัดให้อยู่ในรูปแบบ Metadata ที่หมายถึง ข้อมูลที่สามารถบอกรายละเอียดได้ ทำให้ผู้เยี่ยมชมสามารถเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้นนั้นเอง สมัยก่อนคอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจว่าแต่ละเว็บไซต์คืออะไร เวลาไปค้นหาข้อมูล ก็ไม่รู้ แต่ Web 3.0 จะเป็นการเติมและเพิ่มความหมายเข้าไปในเนื้อหาสาระที่คอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจในตอนแรกให้เข้าใจมากขึ้น สรุป Web 3.0 จะเน้นไปเรื่องการจัดการข้อมูลมนเว็บมากขึ้น ดีขึ้น และทำให้ผู้เยี่ยมชม สามารถเข้าถึงเนื้อหาของเว็บได้ดีขึ้นนั้นเอง 


Web 4.0 
จาก Web 3.0 ก็กลายมาเป็น Web 4.0 หรือที่เขาเรียกกันว่า "A Symbiotic web" คือเว็บไซต์ที่ทำงานแบบ Artificial Intelligence (AI) ที่ฉลาดมากยิ่งขึ้น คอมพิวเตอร์สามมารถคคิดได้ มีความฉลาดมากขึ้น ในการอ่านทั้งเนื้อหา ข้อความ และรูปภาพ หรือวีดีโอ ก็สามารถที่จะตอบสนองแล้วตัดสินใจได้ว่าจะ load ข้อมูลอะไร จากไหนที่จะให้ประสิทธิภาพดีที่สุดมาให้ผู้ใช้งานก่อน และนอกจากนี้แล้วยังมีรูปแบบของการนำมาแสดงที่รวดเร็ว Web 4.0 จะทำให้ข้อมูลต่างๆ สามารถทำงานได้แทบจะทุก Device หรืออาจจะช่วยระบุตัวตนที่แท้จริงของผู้ใช้งาน











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น